
อุตสาหกรรมน้ำหอมของไทยกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่น่าสนใจหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์น้ำหอมไทย
แนวโน้มการตลาดน้ำหอมไทยในปี 2025 เน้นการสร้างความแตกต่างด้วยวัตถุดิบธรรมชาติของไทย การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึง Gen Z และ Alpha ที่ชื่นชอบกลิ่นเฉพาะตัวและราคาที่เข้าถึงได้ รวมถึงการพัฒนาชุดทดลองกลิ่น (Sample Sets) เพื่อตอบสนองเทรนด์การทดลองกลิ่นที่เพิ่มขึ้น และความต้องการน้ำหอมที่สะท้อนบุคลิกภาพและความยั่งยืน.
https://www.thairath.co.th/shopping/health-and-beauty/1000453
1. ตลาดน้ำหอมไทยเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก
มูลค่าตลาด: ตลาดน้ำหอมในประเทศไทยมีมูลค่ามากกว่า 12,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 286.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ประมาณ 9.7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของตลาดโลก (แหล่งอ้างอิง: The Business+ และรายงานจาก StrategyHelix)
ปัจจัยขับเคลื่อน: การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นกลางในเมือง รวมถึงอิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลและเทรนด์ใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น

2. แบรนด์ไทยได้รับความนิยมมากขึ้น
จุดเด่นของแบรนด์ไทย: แบรนด์น้ำหอมไทยเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะแบรนด์ที่นำเสนอความหอมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสะท้อนความเป็นไทย เช่น การใช้กลิ่นจากพืชพรรณท้องถิ่น
การเติบโตที่โดดเด่น: มีรายงานว่าแบรนด์น้ำหอมไทยบางแบรนด์มีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยให้การยอมรับและพร้อมที่จะสนับสนุนแบรนด์ท้องถิ่นที่มีคุณภาพ (แหล่งอ้างอิง: The Business+)
กลยุทธ์และเทรนด์หลัก
วัตถุดิบธรรมชาติของไทย:แบรนด์น้ำหอมไทยกำลังได้รับความนิยมสูง และเติบโตได้ดีกว่าตลาดโลก โดยอาศัยการนำพืชพรรณท้องถิ่นมาสร้างสรรค์กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์.
การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย:แพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Instagram มีอิทธิพลอย่างมากต่อการกำหนดเทรนด์น้ำหอม โดยเฉพาะการสร้าง “ไมโครเทรนด์” หรือกระแสเฉพาะกลุ่มที่กลายเป็นไวรัล.
ชุดทดลองกลิ่น (Sample Sets):ความนิยมของชุดตัวอย่างกลิ่นเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะ Gen Z และ Alpha สามารถทดลองกลิ่นใหม่ๆ ตามเทรนด์ได้ โดยไม่ต้องลงทุนซื้อขวดขนาดใหญ่ในราคาสูง.
น้ำหอมที่สะท้อนตัวตนและความยั่งยืน:ผู้บริโภครุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว สามารถสะท้อนภาพลักษณ์หรือสถานะทางสังคม และสอดคล้องกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม.
กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์:แบรนด์น้ำหอมที่เน้นกลิ่นเฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร และมีความสร้างสรรค์ จะได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ต้องการหลีกหนีความจำเจ.
การพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับสภาพอากาศ:ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ผลักดันให้ผู้บริโภคสนใจน้ำหอมที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น.

3. พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
ความต้องการความหอมที่เข้าถึงง่ายและเป็นส่วนตัว: ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ไม่ได้มองหาน้ำหอมราคาแพงเสมอไป แต่ให้ความสำคัญกับ “กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว” และ “กลิ่นที่บ่งบอกความเป็นตัวตน” ทำให้ตลาดน้ำหอมระดับกลาง (Mid-range) เติบโตอย่างมาก (แหล่งอ้างอิง: Mintel)
การใส่ใจเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม: ผู้บริโภคหันมาสนใจผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและออร์แกนิกมากขึ้น โดยมีถึง 35% ที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารเคมีสังเคราะห์ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับแบรนด์ที่เน้นส่วนผสมจากธรรมชาติ (แหล่งอ้างอิง: Market Research Future)
กลิ่นที่ช่วยส่งเสริมสุขภาวะที่ดี (Wellness): ผู้บริโภคจำนวนมากยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อน้ำหอมที่ช่วยลดความเครียดหรือช่วยเรื่องสุขภาพจิต ซึ่งเป็นแนวโน้มที่น่าสนใจและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับแบรนด์ (แหล่งอ้างอิง: Mintel)


